“อาจารย์เอ” ประกาศชัดยุติเสียงอีสาน รายได้ต่อจากนี้ให้ “แม่นกน้อย” ทั้งหมด
“อาจารย์เอ จักรพรรดิ” ประกาศยุติบทบาทการบริหารวงเสียงอีสานอย่างเป็นทางการ รายได้ทั้งหมดในอนาคตให้ “แม่นกน้อย” ทั้งหมด
ทำเอาแฟนหมอลำตกใจอย่างมาก เมื่อวันนี้ (7 ก.พ. 68) “อาจารย์เอ จักรพรรดิ” ได้โพสต์คลิปวิดีโอผ่านเพจ “หมอลำเสียงอิสาน นกน้อย อุไรพร” แถลงยุติบทบาทการเป็นผู้บริหารของคณะหมอลำเสียงอิสาน โดยกล่าวว่า “จากวันนี้เป็นต้นไป ผมขออนุญาตยุติบทบาทการเป็นผู้บริหารของคณะหมอลำเสียงอิสาน”

โดยในการยุติบทบาทในครั้งนี้ “อาจารย์เอ” ได้ประกาศมอบทรัพย์สินทั้งหมดให้กับคุณ “แม่นกน้อย อุไรพร” และคนใน “วงหมอลำเสียงอิสาน” ซึ่งรวมถึงขนนก ชุด และระบบแสงสีเสียงทั้งหมดที่ลงทุนไป โดยให้แม่นกน้อย อุไรพร นำไปพัฒนาต่อในอนาคต ส่วนรายได้จากผู้สนับสนุนที่ได้รับในช่วงที่ผ่านมา หลังถูกใช้ในการบริหารวงแล้ว ส่วนที่เหลือจะเป็นเงินสดที่คุณแม่นกน้อย อุไรพร จะได้รับเพียงผู้เดียว โดยไม่ต้องมีการแบ่งให้กับ “อาจารย์เอ” แต่อย่างใด

ในส่วนที่ “แม่นกน้อย อุไรพร” ได้มีการกู้ยืมเงินจากบริษัทและจากตนเพื่อใช้จ่ายนั้น อาจารย์เอขอยกหนี้ให้แม่นกน้อยทั้งหมด ไม่ต้องเป็นหนี้และจะไม่มีหนี้ระหว่างกันอีกต่อไป การกระทำทั้งหมดนี้เกิดขึ้นจากความรักที่ตนมีต่อเสียงอีสานและคุณแม่นกน้อย อุไรพร สำหรับงานที่รับไว้ในเรทราคาประมาณ 350,000 บาทถึง 370,000 บาทนั้น จะเป็นงานที่สร้างกำไรให้กับคุณแม่นกน้อยทั้งหมด

วัตถุประสงค์ที่เข้ามาบริหารวงหมอลำเสียงอีสาน เพราะต้องการให้วงหมอลำเสียงอีสานขับเคลื่อนไปข้างหน้าได้หลังจากที่เจอเหตุการณ์ไฟไหม้ และด้วยความรักความผูกพันที่เป็นแฟนหมอลำมาตั้งแต่เด็ก ตนรู้สึกว่าวงหมอลำเสียงอีสานเป็นหนึ่งในคณะหมอลำของคนอีสานที่สืบทอดสืบสานศิลปะวัฒนธรรมภูมิปัญญาของคนอีสาน

ทั้งนี้ อาจารย์เอ ย้ำว่าไม่ได้ทะเลาะกัน เป็นการจากกันด้วยดี พร้อมทั้งขอขอบคุณไปยังทุกๆ ฝ่ายที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ต่อจากนี้ยังคงมีความรู้สึกดีและความสัมพันธ์ที่ดีต่อคุณแม่นกน้อย อุไรพรเสมอ และขออนุญาตยุติบทบาทการเป็นผู้บริหารของคณะหมอลำเสียงอิสานไว้เพียงเท่านี้ ท่ามกลางชาวเน็ตที่เข้ามาคอมเมนต์ให้กำลังใจจำนวนมาก

Categories: NEWS




Play
DELTA ถล่มซ้ำ…ตลาดหุ้นไทย ยังไม่หมดเคราะห์!!!
07 ก.พ. 2568 | 06:00 น.
DELTA ถล่มซ้ำ…ตลาดหุ้นไทย ยังไม่หมดเคราะห์!!! : คอลัมน์เมาธ์ทุกอำเภอ โดย…..เจ๊เมาธ์ ฐานเศรษฐกิจออนไลน์
*** หลังจากที่ดัชนีหุ้นไทยปรับลงมาอยู่ที่ระดับ 1285 จุด ซึ่งเป็นแนวรับสำคัญ ทำให้ตั้งแต่วันแรกของปี จนถึงตอนนี้ ดัชนีหุ้นไทยปรับลงไปแล้วมากกว่า 130 จุด ขณะที่บรรดากูรูและนักวิเคราะห์จากหลายค่ายสำนัก ต่างก็แห่ออกมาถล่ม บ้างก็บอกว่า แนวรับจะเปลี่ยนกลับมาเป็นแนวต้าน บ้างก็บอกว่าในเดือนเมษา ดัชนีหุ้นไทยอาจจะลงไปแตะระดับ 1000 จุด หรือถึงขนาดที่ กูรู บางคนถึงกับฟันธงไปเลยว่า ปีนี้ดัชนีหุ้นไทยอาจจะลงไปถึง 800 จุด ทำเอานักลงทุนรายย่อยพากัน “ปอดแหก” ไปตามๆ กัน
แต่ก็อย่างว่า…ตลาดหุ้นขาลงก็เป็นแบบนี้ เพราะตั้งแต่ต้นปีก็มีแต่เรื่องร้อนเข้ามากดดัน!!!
ถ้าเรื่องระดับโลกก็เริ่มตั้งแต่ อดีตประธานธิบดีโจ ไบเดน ที่ทิ้งทวนให้ยูเครนสามารถใช้ขีปนาวุธยิงลึกเข้าไปในรัสเซีย จนเกิดการตอบโต้ที่รุนแรงมากขึ้น ต่อด้วย ประธานธิบดีโดนัล ทรัมป์ ที่กลับมาใหม่พร้อมด้วยนโยบายสุดโต่งเหมือนเดิม ทั้งเรื่องจะไปยึดที่นั่นที่นี่…
ก่อนที่จะตามมาด้วยการประกาศทำสงครามการค้า ด้วยการขึ้นภาษีกับหลายประเทศโดยเฉพาะกับจีน จนมาถึงเรื่องของ “เอไอเอื้ออาทร” อย่าง DeepSeek ที่กดดันให้มูลค่าทางการตลาดของหุ้นกลุ่มเทคฯ ระดับโลกหายไปกว่า 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ภายในวันเดียว
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ตึ๊งหุ้น 3 รูปแบบ…แสบทุกสไตล์
“บ้านเพื่อคนไทย”ดีต่อใจ…แต่กระทบหุ้นตัวใดบ้าง!!!
DeepSeeK สร้างปัญหาอะไร!!! หุ้นไทยเกี่ยวอะไรด้วย…
BDMS BH … เมื่อหุ้นโรงพยาบาล เข้า ICU
แบล็คมันเดย์…ดอยทั้งตลาดฯ
ส่วนปัจจัยภายในประเทศ ก็เริ่มตั้งแต่หุ้นกลุ่มค้ำบัญชีมาร์จิ้น (Margin Loan) ที่มีหลายตัวถูกเทขายออกมาฟลอร์แล้วฟลอร์เล่า จนทำให้นักลงทุนต่างพากันเข็ดขยาด ก่อนที่ต่อมาโบรกเกอร์เจ้าใหญ่ที่เปิดให้บริการบัญชีมาร์จิ้น จะประกาศยุติการทำธุรกรรมทั้งหมดในที่สุด
จนล่าสุดกรณีของ DeepSeek ที่ส่งผลให้หุ้นใหญ่เป็น “เบอร์หนึ่ง” ของตลาดหุ้นไทย อย่าง DELTA ถึงกับ “เมาหมัด” เพราะเท่าที่ผ่านมาราคาหุ้นของ DELTA มักเดินตามหุ้นเทคฯ อย่าง NVIDIA และ TESLA มาตลอด
ท้ายที่สุด “เคราะห์กรรม” ของตลาดหุ้นไทยในเดือนภุมภาพันธ์นี้ยังไม่หมด เนื่องจากเป็นเดือนสุดท้าย ที่บริษัทจดทะเบียนจะต้องแจ้งผลการดำเนินงานงวดปี 2567 และน่าจะมีหลายบริษัทที่ทำผลงานไม่ได้ตามเป้า ซึ่งก็อาจเป็นเหตุให้ดัชนีหุ้นไทยหลุดต่ำลงไปได้อีกได้ เพราะอ่อนแอมากอยู่แล้ว
ดังนั้น คำแนะนำของเจ๊เมาธ์ ก็คือ ถ้าเงินไม่เย็น หรือใจไม่ถึง ก็ให้ถอยไปก่อน หรือ หากยังพอมีเงินแต่ไม่อยากเสี่ยง จะนั่งทับมือไปก่อนก็ได้ แต่ถ้ามั่นใจว่าศึกษามาดีพอ มีเงินและใจถึง นาทีนี้ก็เป็นช่วงที่จะเก็บของถูกได้เช่นกันเจ้าค่ะ
*** เมื่อว่ากันถึงเรื่องของ DELTA เจ๊เมาธ์ก็จะเล่าถึงเรื่องของ CAPPED WEIGHT ซึ่งเป็นสาเหตุล่าสุดที่ทำให้ราคาหุ้นของ DELTA ปรับลงมาทันทีถึงกว่า 8% ในชั่วโมงแรกของการซื้อขาย
หลังมีข่าวว่าตลาดหลักทรัพย์ฯ กำลังพิจารณาใช้ CAPPED WEIGHT เพื่อปรับน้ำหนักให้หุ้นแต่ละตัว มีน้ำหนักต่อดัชนีหุ้นไทยไม่เกิน 10% โดยสาเหตุที่ DELTA ร่วงหนักกว่าหุ้นตัวอื่น ก็เป็นเพราะนักลงทุนทั้งหลายที่ถือครองหุ้นตัวนี้อยู่ ต่างก็รู้ว่า DELTA มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทยมากเกินไป
มาก…จนทำให้กลายเป็นเป้าหมายว่าจะถูก “คุมกำเนิด” ไม่วันใดก็วันหนึ่ง…ก็น่าจะไม่ผิดเท่าใดนัก!!!
ว่าแต่ทำไม “โคตรหุ้น” อย่าง DELTA จึงเป็นหุ้นที่ถูกมองว่า จะได้รับผลกระทบมากที่สุด จากกรณีของการพิจารณาใช้ CAPPED WEIGHT มากกว่าหุ้นตัวอื่น
อย่างแรก ก็คือ นักลงทุนและนักวิเคราะห์ รวมไปถึง Regulators หลายคนต่างก็มองว่า DELTA เป็นหุ้นตัวปัญหา ที่ทำให้กลไกของตลาดหุ้นไทย “บิดเบี้ยว” โดยเฉพาะในประเด็นของจำนวนผู้ถือหุ้นรายย่อย (Free Float) ที่มีอยู่น้อยมาก แต่ทั้งที่รู้…แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เปรียบเสมือน “ก้อนกรวดในรองเท้า” ที่ถูกตั้งเป้าว่าจะต้องจัดการให้ได้ในสักวัน
อย่างที่สอง เป็นปัญหาเรื่องมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Capitalization) ทั้งที่มีสินทรัพย์ของทั้งบริษัท มีเพียง 1.18 แสนล้านบาท ขณะที่ในช่วง 9 เดือนแรกของปี บริษัทนี้มีรายได้ 1.24 แสนล้านบาท มีกำไร 1.67 หมื่นล้านบาท ซึ่งก่อนหน้านี้เพียง 2 เดือน DELTA เคยมีมาร์เก็ตแคปที่สูงถึง 2.15 ล้านล้านบาท ก่อนที่จะปรับลงมาอยู่ที่ 1.5 ล้านล้านบาท ในปัจจุบัน และแม้จะปรับลงมาขนาดนี้ แต่ก็ยังใหญ่ที่สุดในตลาดหุ้นไทยอยู่เหมือนเดิม
ซึ่งนั้นก็หมายความว่า มาร์เก็ตแคปของตลาดหุ้นไทย ในเวลา 2 เดือนนิดๆ ได้หายไปถึง 6 แสนล้านบาท จากการปรับลดลงมาของราคาหุ้น DELTA เพียงตัวเดียว…
อย่างที่สาม เป็นเรื่องของ CAPPED WEIGHT ซึ่งตอนนี้กำลังถูก Regulators เพ่งเล็งโดยตรง ทั้งนี้ก็เป็นเพราะแค่หุ้น DELTA เพียงตัวเดียวก็มีสัดส่วนใน SET50 ที่ 13% และสัดส่วนใน SET100 ที่ 12% ทำให้ DELTA มี CAPPED WEIGHT ส่วนเกินอยู่ใน SET50 อยู่ถึง 3% และส่วนเกินอยู่ใน SET100 ถึง 2% ซึ่งนั้นก็ทำให้ DELTA ถูกมองว่าจะเป็นหุ้นที่ได้รับผลกระทบจากการบังคับใช้ CAPPED WEIGHT มากกว่าหุ้นตัวอื่นนั่นเอง…
อย่างไรก็ตาม เจ๊เมาธ์คิดว่า อย่าเพิ่งร้อนใจ หรือ คิดมากเกินไป เพราะกว่าจะจบขั้นตอนการเปิดรับฟังความคิดเห็นช่วง 4-17 ก.พ. 68 ก็เหลือเวลาอีกตั้งหลายวัน และถ้าใครจำได้ เมื่อ 2-3 ปีก่อน ก็เคยลองหาวิธีทำกันแล้ว แต่ก็ทำอะไรพี่เค้าไม่ได้ ดังนั้น การหาวิธีจัดการกับ “โคตรหุ้น” ตัวนี้จะทำได้ไม่ง่ายอย่างที่คิด และถึงตอนนี้ก็คงต้องรอดูว่า Regulators ชุดปัจจุบันจะทำอะไรได้หรือไม่
…ในเมื่อเคยรอมาได้ตั้งนาน ก็รอต่อไปอีกสักพัก จะเป็นอะไรไป ประเทศไทยง่ายๆ สบายๆ ไม่คิดอะไรมากอยู่แล้วเจ้าค่ะ