กรี๊ดด้อมแตก! พระเอกดัง ยอมรับ นางเอกสาว คือความสุขของชีวิต
ถูกจับตามองความสัมพันธ์อย่างหนัก สำหรับคู่พระนางสุดฮอต กองทัพ พีค กับ มิ้นท์ รัญชน์รวี เอื้อกูลวราวัตร จากคู่จิ้น ในละครซีรีย์ชุด ดวงใจเทวพรหม ตอน ดุจอัปสร สัมพันธ์เหมือนจะพัฒนามายันนอกจอเพราะหลังจากละครจบแต่แฟนๆก็ยังฟินหนักมาก
ล่าสุด พีค เปิดใจให้สัมภาษณ์กับสื่อเจ้าตัวก็ได้พูดถึงประเด็นดังกล่าวว่า
“พีครู้สึกว่าไม่ว่าจะเป็นใครหรือเป็นคุณมิ้นท์เอง ทีมงานเป็นกำลังใจให้พีคหมดเลย รู้สึกดีครับ พีคก็เป็นแบบนี้มาตั้งแต่ต้น การที่ได้ยินเรื่องนี้ก็ชื่นใจ อยู่ที่ในอนาคตละกันครับพูดเหมือนดาราเลย
ขอบคุณทุกคนครับ การที่ทุกคนมีความสุขกับเรา งานเราคือการสร้างความสุข พีคก็สบายใจครับ มิ้นท์เป็นหนึ่งในความสุขครับแต่จริงๆได้ร่วมงานกันมาตั้งแต่แรกอะไรที่เป็นเรื่องที่ดีสิ่งที่ดีก็มอบให้กันคุณมิ้นท์ก็สามารถไปมอบให้คนอื่นได้เหมือนกัน เป็นการแชร์ความสุขผ่านผลงานที่แสดงด้วยกัน
ทุกอย่างให้เป็นเรื่องของอนาคตละกันครับ ตอนนี้ขอโฟกัสงานก่อนครับ
“
เอ้า ชาวด้อมพีคมิ้นท์เสียงเชียร์อย่าแผ่ว อย่าอ่อม หนุ่มพีคเขาบอกแล้วนะ ในอนาคตอาจมีลุ้นเลื่อนสถานะ เตรียมกรี๊ดเลย




เปิด 5 เหตุผลหลัก ทำไมชาวต่างชาติเลือกซื้อที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ
บทความ โดย : Nuntanach D. | กันยายน 13, 2023 |

นอกจากแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติอันสวยงาม วัฒนธรรมที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และอาหารรสชาติอร่อยที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลกแล้ว ประเทศไทยยังมีความโดดเด่นอีกหลาย ๆ ด้านที่ล้วนดึงดูดให้ชาวต่างชาติมาเยี่ยมเยือนและอยู่พักอาศัยมากขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อค้นดูสถิติจากองค์การระหว่างประเทศเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐานประเทศไทย[1] (International Organization for Migration (IOM) Mission in Thailand) พบว่า ชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยมีจำนวนเพิ่มขึ้นจาก 3.7 ล้านคนในปี 2557 เป็น 4.9 ล้านคนในปี 2561 และมีแนวโน้มเพิ่มทุกปี ข้อมูลดังกล่าวยังสอดคล้องกับที่ธนาคารแห่งประเทศไทยได้เปิดเผยยอดเงินโอนเพื่อซื้ออาคารชุดไทยจากชาวต่างชาติ ที่พุ่งสูงขึ้นหลังการคลี่คลายของสถานการณ์โควิด-19 ในปี 2565 ซึ่งอยู่ที่ 63,197 ล้านบาท นอกจากนี้หลังจากที่ รัฐบาลไทยได้อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงการได้มาซึ่งที่ดินเพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยของชาวต่างชาติ[2] ทำให้ชาวต่างชาติที่ผ่านเกณฑ์ข้อกำหนดจะสามารถซื้อและเป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ในไทยได้ โดยต่างชาติที่มีเงินโอนสูงสุด ได้แก่ ฮ่องกง 12,106 ล้านบาท สหรัฐอเมริกา 11,607 ล้านบาท สิงคโปร์ 7,827 ล้านบาท สหราชอาณาจักร 5,509 ล้านบาท ไต้หวัน 2,353 ล้านบาท ญี่ปุ่น 1,043 ล้านบาท และจีน 900 ล้านบาท[3]

ทั้งนี้ ประเทศไทยโดยเฉพาะกรุงเทพมหานคร มี 5 ปัจจัยหลักที่ดึงดูดให้ชาวต่างชาติเข้ามาลงทุน และเลือกให้เป็นบ้านหลังที่สองของพวกเขา ดังต่อไปนี้:
1 ความก้าวหน้าทางการแพทย์และการรักษาพยาบาล
ประเทศไทย ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในประเทศที่มีความก้าวหน้าทางการแพทย์และการบริการด้านการดูแลรักษาระดับโลก ซึ่งข้อมูลจาก CEOWORLD Magazine 2564 ระบุว่า ประเทศไทยมีระบบการแพทย์ที่ดีที่สุดเป็นลำดับที่ 13 ของโลกตามหลังประเทศในเอเชียด้วยกันเพียงเกาหลีใต้ ไต้หวัน และญี่ปุ่น เท่านั้น ในขณะเดียวกัน รายงานจาก Medial Tourism Association 2562 เกี่ยวกับค่ารักษาทางการแพทย์ ระบุว่าประเทศไทยมีค่ารักษาพยาบาลที่ถูกที่สุด เมื่อเทียบกับสหรัฐอเมริกาและสิงคโปร์ในการผ่าตัดเฉพาะทาง เช่น โรคเกี่ยวกับหัวใจและหลอดเลือด การทำบายพาสหัวใจ การผ่าตัดมดลูก การทำเลสิค การทำรากฟันเทียม และการปลูกถ่ายเต้านม เป็นต้น ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าค่ารักษาโรคต่าง ๆ ในไทยมีราคาถูกกว่าประเทศแถบยุโรปถึง 30% และสหรัฐอเมริกากว่า 70%
นอกจากเรื่องราคาแล้ว บุคลากรทางการแพทย์ในไทยยังมีคุณภาพสูง เชี่ยวชาญด้านการรักษาโรคเฉพาะทางในศาสตร์ต่าง ๆ ยิ่งไปกว่านั้น ประเทศไทยยังโด่งดังด้านการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ (Medical Tourism) เพราะประเทศไทยเป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับการพักผ่อนเพื่อรักษาตัวจากอาการป่วยหรือหลังการผ่าตัด เนื่องจากมีการให้บริการอย่างสะดวกสบายและครบครัน โดยเฉพาะโรงพยาบาลเอกชนในไทยที่ให้ความรู้สึกเหมือนได้พักผ่อนในโรงแรมหรู
2 พร้อมด้วยโรงเรียนนานาชาติชั้นนำ
กรุงเทพฯ เป็นเมืองที่ผู้ปกครองและเด็กนักเรียนสามารถเข้าถึงระบบการศึกษาแบบนานาชาติได้กว่า 80 แห่ง ซึ่งสังคมของโรงเรียนนานาชาติมีทั้งเด็กไทยและบุตรหลานของผู้ปกครองชาวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาทำงานและอยู่อาศัยในประเทศ โดยโรงเรียนนานาชาติในกรุงเทพฯ ใช้หลักสูตรการเรียนการสอนเป็นภาษาอังกฤษ ตามหลักสูตรแบบ British English 46% American English 28% IB 15% Singapore 6% International 6% และแบบนานาชาติอื่น ๆ 30% ซึ่งถือเป็นหลักสูตรมาตรฐานที่ได้รับการยอมรับในวงกว้าง ในเรื่องภาษา โรงเรียนนานาชาติในกรุงเทพฯ สอนโดยใช้ภาษาอังกฤษกว่า 90% ตามด้วยภาษาไทย 8% ภาษาจีน 8% ญี่ปุ่น เยอรมัน และอื่น ๆ 1% ทำให้มั่นใจได้ว่าเด็ก ๆ จะได้ศึกษาเล่าเรียนภาษาอังกฤษและภาษาที่ 2 3 หรือ 4 ได้ตามความต้องการ นอกจากนี้เมื่อนักเรียนถึงระดับชั้นที่กำหนดไว้ แต่ละโรงเรียนจะมีการจัดเรียน IGCSE และ A-Level การจัดสอบ SAT/ACT รวมถึงวิชาบังคับตามกลุ่มการศึกษาต่าง ๆ ที่สามารถใช้ยื่นรับรองเข้ามหาวิทยาลัยชั้นนำในต่างประเทศได้อีกด้วย[4]
อีกปัจจัยหนึ่งที่ขาดไม่ได้คือค่าเล่าเรียน เมื่ออ้างอิงข้อมูลจาก International School Database 2564 พบว่า กรุงเทพฯ เป็นเมืองที่มีอัตราเฉลี่ยด้านค่าเล่าเรียนเป็นลำดับที่ 14 ของภูมิภาค เมื่อเทียบกับเมืองใหญ่อื่น ๆ ในเอเชีย ไม่ว่าจะเป็น ปักกิ่ง ที่มีอัตราค่าเทอมสูงเป็นอันดับ 1 ตามด้วยเซี่ยงไฮ้(2) โซล(5) สิงคโปร์(6) โตเกียว(8) ไทเป(11) เกียวโต-โอซาก้า-โกเบ(13) เป็นต้น โดยราคาเฉลี่ยของโรงเรียนนานาชาติในกรุงเทพมหานคร อยู่ที่ 485,122 บาท โดยค่าเทอมต่อปีอยู่ระหว่าง 260,000-760,000 บาท ดังนั้นกรุงเทพฯ จึงถือเป็นเมืองที่เหมาะสำหรับการศึกษาของบุตรหลานชาวไทยและชาวต่างชาติ ด้วยคุณภาพระดับมาตรฐานสากลในราคาย่อมเยากว่าประเทศอื่นในเอเชีย
3 อัพเดทสิทธิประโยชน์สำหรับผู้ถือวีซ่าระยะยาว
หลังจากที่ประเทศไทยได้ประกาศใช้วีซ่าแบบใหม่เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของเศรษฐกิจในประเทศ Long-term Residence VISA (LTR) จึงได้ถูกประกาศใช้เพื่ออนุญาตให้ชาวต่างชาติกลุ่มที่เข้าเกณฑ์สามารถเข้ามาพำนักในไทยได้ ซึ่งได้แก่ 1. Wealthy Global Citizens (บุคคลที่มีทรัพย์สินอย่างน้อย 1 ล้านเหรียญสหรัฐ) 2. Wealthy Pensioners (ผู้เกษียณที่มีอายุ 50 ปี หรือมากกว่า โดยมีเงินบำนาญรายปี หรือ passive income ที่มั่นคง) 3. Work-From-Thailand Professionals (ผู้ที่ทำงานให้บริษัทใหญ่ในต่างประเทศที่สามารถทำงานจากที่ใดก็ได้) 4. Highly skilled professionals (ผู้ชำนาญการที่ทำงานให้บริษัท สถาบันการศึกษาขั้นสูง ศูนย์วิจัย สถาบันการอบรมพิเศษในประเทศไทย หรือเจ้าหน้าที่รัฐบาลไทย) และ 5. ครอบครัวของผู้ถือวีซ่าข้างต้นจะได้สิทธิประโยชน์แบบเดียวกันกับผู้ถือ[5] โดยวีซ่า LTR รูปแบบใหม่นี้ ชาวต่างชาติจะได้สิทธิ์ในการทำวีซ่าเป็นระยะเวลา 10 ปี เพื่อพำนักในประเทศไทย (การยื่นครั้งแรกจะได้สิทธิ 5 ปี สามารถขยายเวลาต่อได้อีก 5 ปี หากมีคุณสมบัติครบถ้วน) รวมถึงช่วยเอื้อผลประโยชน์ในด้านภาษี 17% สำหรับผู้ชำนาญการ และการยกเว้นภาษีสำหรับรายได้จากต่างประเทศ
ดังนั้นการอนุมัติวีซ่าดังกล่าวจะเพิ่มความสนใจจากกลุ่มบุคคลต่างชาติที่มีศักยภาพสูง ให้เข้ามาทำงาน อยู่อาศัย และลงทุนซื้ออสังหาฯ ในกรุงเทพฯ ที่เป็นเมืองเศรษฐกิจหลักของไทยมากขึ้นอย่างแน่นอน โดยรายงานจาก U.S. News & World Report 2565[6] ระบุว่า ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 3 ของโลกสำหรับประเทศที่น่าเริ่มต้นธุรกิจ และอันดับที่ 19 ของโลกด้านประเทศที่ดีที่สุดสำหรับการทำงาน

[1] จำนวนของชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย
[2] ครม. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงการได้มาซึ่งที่ดินเพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยของคนต่างด้าวตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนโดยการดึงดูดคนต่างด้าวที่มีศักยภาพสูงสู่ประเทศไทย
[3] เปิดสถิติ 5 ปี ยอดเงินต่างชาติซื้อคอนโดฯเมืองไทย ชาติไหนติดอันดับ
[4] ไขข้อสงสัย ความแตกต่างระหว่างหลักสูตร A-Level, IB, AP ในระบบการศึกษาแบบนานาชาติ
[5] เปิดตัววีซ่าพำนักระยะยาว (LTR visa) สำหรับต่างชาติที่อยากอยู่ไทย
[6] Why Invest in Thailand – Thailand’s Rankings