เผยสิ่งที่ ‘ใหม่ พัชรี’ ทำหลังเห็นแฟนๆ ยืนดูอยู่นอกงาน
“ใหม่ พัชรี” เจ้าของฉายาบียอนเซ่อีสาน หมอลำซิ่งสาวที่มาแรงแถวหน้าของประเทศไทย วันนี้ขอเปิดใจหลังเป็นกระแสเป็นหมอลำที่หยาบคาย เล่าเหตุการณ์เคยโดนดูถูกจนของขึ้น พร้อมเปิดสถานะหัวใจ ตอนนี้มีแฟนเป็นสาวหล่อ ผ่านทางรายการ คุยแซ่บshow ช่องOne31 ที่มี หนิง ปณิตา และ เบนซ์พรชิตา เป็นพิธีกรดำเนินรายการ
นี่คือรายการแรกที่เลือกมาออกรายการและเปิดใจถึงฉายาบียอนเซ่อีสาน ทำไมเลือกรายการนี้ที่แรก?
“จริงๆ คนติดต่อเยอะ แต่ไม่มีเวลา เพราะมีงานทุกวัน ทำงานทุกวัน ดูแลวงด้วย งานส่วนมากอยู่ภาคอีสาน ก็จะเดินทางลำบากนิดนึง มาวันนี้ก็หลง (หัวเราะ) วันนี้มีงานอยู่ปทุมฯ เต็มวงค่ะ”
ภูมิใจฉายาบียอนเซ่อีสาน?
“ดีใจค่ะ เอาจริงๆ ก็ต้องมีสักอย่างที่ทำให้คนรู้จักเราเป็นภาพจำ ก็ดีใจและภูมิใจมากๆ วันนั้นได้มีโอกาสไปร่วมงานกับพี่ก้อง ห้วยไร่ งานเฟสติวัลพี่ก้อง ตอนแรกไม่รู้เรื่อง เพราะคุณเบลล์แฟนพี่ก้องทักมาคุยกับผู้จัดการ เขาไม่ให้บอกเรา แอบเซอร์ไพรส์ เราคุยกับผู้จัดการว่าถ้าเราไม่ได้ไป เราไปเที่ยวกันนะ พอเขาบอกว่าเราได้ไปก็ดีใจมาก แอบตื่นเต้น”
ตอนแรกไม่กล้าไป กลัวคนไม่รู้จัก?
“ใช่ เพราะเราคิดว่าเราเป็นแค่หมอลำซิ่ง ดังแค่นี้เอง กลัวว่างานใหญ่ระดับนี้ ระดับประเทศ ไปแล้วคนจะรู้จักเรามั้ย ก็เลยแอบทักพี่ก้องไปว่าหนูแอบกังวลว่าหนูไปงานจะสมงานพี่มั้ย แกบอกว่าไม่ต้องกลัว ไม่ต้องกังวล ให้เป็นตัวของตัวเอง ทำให้เต็มที่ ผลออกมายังไงก็ดีที่สุดแล้ว”
คาแรกเตอร์ใหม่ชัดเจน ทุกคนเห็นแล้วจำ รู้มั้ยคาแรกเตอร์ชัดมาก?
“รู้ตัว ตอนแรกไม่กล้าขายแบบนี้ แล้วมาคุยกับผู้จัดการ เขาบอกว่าตัวเองไม่ใช่คนสวย อย่าขายสวย ก็เออ มันก็ใช่ คาแรกเตอร์ที่คนชอบมากๆ จะเป็นการดื่มกับแฟนเพลง ด่าแฟนเพลง (หัวเราะ) ตอนแรกไม่ใช่คาแรกเตอร์แบบนี้ พอด่าแฟนเพลงมันจะเป็นการเล่นมากกว่า มีคนเข้าใจและไม่เข้าใจ หาว่าเราหยาบคาย ทั้งสองทาง แต่เอาจริงๆ เราห้ามความคิดคนไม่ได้ เราเอาคนหน้าเวทีก่อน สคริปต์เราทุกวันจะไม่เหมือนกัน ส่วนใหญ่คนมาด่าเรา มาว่าเรา จะเห็นแค่ไม่กี่วิ ก็จะตัดสินเราแล้ว”
ที่โดนเยอะมากคือหมอลำขี้เมา หยาบคาย ก้าวร้าว เสียใจมั้ย?
“ไม่ค่ะ เป็นอย่างที่ทุกคนพูดเลย (หัวเราะ) เรามาสายนี้ จะเดินออกไปสวยๆ ถ้าเราไปคอนเสิร์ต เขาเอามาให้เรากิน แก้วละ 3-4 หมื่น เคยได้เป็นแสนก็มี เราก็ต้องเอา ปกติเราซื้อกินอยู่แล้ว อันนี้คนจ้างเรากิน ทำไมจะไม่เอาล่ะคะ (หัวเราะ) แต่ถ้าเป็นงานโรงเรียนจะสุภาพ ไม่มีการดื่ม รู้จักกาลเทศะว่าเป็นยังไง แต่ภาพลักษณ์ที่ออกไปจะเป็นแบบนี้มากกว่า ถ้าเราโพสต์นิ่มๆ ธรรมดา คนไม่ชอบ ชอบให้เราด่า(หัวเราะ)”
ทำไมด่าคนดู เขาแกล้งเรา?
“เราเลือกด้วยนะคะ ไม่ใช่เอะอะก็ด่า เราเลือกว่าสมควรมั้ย ต้องเล่นมั้ย หรือบางครั้งต้องหยอกมั้ย ดูสถานการณ์ว่ามันไปได้หรือเปล่า บางทีคนดูก็ด่าเราเหมือนกัน ล่าสุดเป็นคำหยาบคายเลยค่ะ มีทั้งแบบสัตว์หลายๆ ประเภทมารวมกัน เยอะมาก ยืนด่าเราหน้าเวที คือด่าจนเรารู้สึกว่ามันไม่โอเค เขาด่าจริงๆ มันเหมือนปนๆ กันไปว่าเมาหรือเปล่า วันนั้นเขาก็ด่าเยอะ”
แล้วทำยังไง?
“ด่ารอบแรกไม่เป็นไร ด่าไม่หยุดจนเรารู้สึกว่าไม่โอเค คุณแม่เจ้าภาพก็ไปห้ามเขาว่าอย่าด่าน้องนะ แกก็ผลักแม่เจ้าภาพเหมือนไม่ให้เกียรติด้วย เราก็เลยบอกว่าทุกคนหยุดก่อน ถ้าคนนี้ไม่ออกไปจากหน้าเวทีฉันจะไม่เล่น”
หน้าเวทีคนตีกันมั้ย?
“เกือบทุกงาน ก็จะหยุดก่อน บอกว่าอย่าตีกันนะ มันเจ็บ บางครั้งก็รำใส่ เป็นจังได๋น้ออ้าย คือตีกันให้คนตื่น ทุกคนก็จะหยุด มีบางครั้งถ้าตีกันก็ตีไปโลด ฉันจะกินเบียร์รอ แล้วแต่สถานการณ์”
เป็นสาวเซ็กซี่คนนึง เคยโดนลวนลามมั้ย?
“โดนค่ะ ตอนนั้นอยู่วงประถมบันเทิงศิลป์ วงเก่า เวทีจะเตี้ยหน่อย เราไปจับมือ เขามึนเมานิดนึง ดึงมือเราไปแล้วกำหน้าอก ตอนนั้นสั่งให้หยุดก่อน เราเสียใจ เด็กด้วย ไม่รู้ว่าต้องรับมือยังไง ก็ร้องไห้มาหลังเวที ทางผู้ใหญ่ก็รู้จักคนนั้น ก็เรียกมาขอโทษ หลังจากนั้นก็ตั้งเกราะตัวเอง ต้องสู้แล้ว ตอนหลังด่าเลยค่ะ เรามีไมค์ยังไงต้องดังกว่าเขาอยู่แล้ว ให้เขาหยุดเลย”
ชีวิตวัยเด็กลำบากมาก?
“จนที่สุดเลยก็ว่าได้ ทีวีต้องไปดูบ้านคนอื่น พัดลมก็ไม่มี อาหารการกิน หรือการเป็นอยู่ ต้องกินตามท้องไร่ท้องนา พี่น้อง 4 คนเป็นคนสุดท้องค่ะ เรียนถึงม.3 มีแววร้องเพลง เพราะงานโรงเรียนก็ร้องเพลงมาตลอด เพราะคุณแม่เป็นหมอลำเก่า เราก็ได้แววมาด้วย เวลามีงาน มีกิจกรรม ตัวเองก็กล้าแสดงออกนิดนึงก็ติดมาจากตรงนั้นเลย”
ไม่มีเงินมากๆ มีแรงอยากให้ออกไปจากตรงนี้?
“ใช่ค่ะ อดีตทำให้เราลุกขึ้นสู้ และเราจะไม่จมอยู่กับอดีต ทำให้เรามีแรงผลักดันค่ะ”
พอจนมากๆ จนที่สุดในหมู่บ้าน พอลุกมาทำอะไรที่เฉิดฉาย โดนบูลลี่มั้ย?
“ก็มีค่ะ แต่เราไม่ได้แคร์”
ไม่ได้เป็นนักร้องนำเลยนะครั้งแรกที่เข้าวงการทำอะไร?
“ตอนนั้นคุณพ่อไหมไทย หัวใจศิลป์ แกตั้งวงพอดี เหมือนเราเป็นญาติห่างๆ แก แกก็เดินสายหาแดนเซอร์ หานักร้อง หาหมอลำที่จะไปร่วมวงกับแก ทีนี้เราเสียคุณพ่อไป คุณแม่เลยบอกว่าไม่ต้องเรียนต่อหรอก แม่ไม่มีเงินส่งแล้ว แกก็เลยบอกว่าไปเรียนกับพ่อไหมไทยไหม ไปหาเงินมาส่งทางบ้าน ก็เลยไม่ได้เรียนต่อ ไปอยู่กับพ่อไหมไทย เรียนร้อง เรียนรำกับแก แกก็เอาไปฝึกฝน ปั้นจนให้ได้ดีค่ะ เข้าไปครั้งแรกเต้นก่อน แล้วบอกแกว่าหนูร้องเพลงได้นะ หนูเสียงดี ก็เลยไปร้องเพลง พอนางเอกขาด เราก็เป็นนางเอกให้ นักร้องขาดเราก็ไปเป็นนักร้องให้ แดนเซอร์ขาดก็ไปเป็นแดนเซอร์ให้”
ค่อยๆ กระเถิบ ไม่เหมือนยุคนี้ กว่าจะถึงตรงนี้ได้คุณครูที่ดีสอนทุกด้าน ระหว่างทางมีท้อมั้ย อยากเป็นนักร้องแต่ไปไม่ถึงจุดนั้นสักที?
“ก็ใช้เวลาประมาณ 10 กว่าปีกว่าจะถึงจุดนี้ได้ แต่ตอนนั้นไม่ได้ตั้งเป้าหมายว่าฉันต้องเป็นนักร้องดัง เราแค่ต้องการไปทำงานหาเงินเลี้ยงครอบครัว ต้องการเป็นแค่เสาหลักให้ทุกคนแค่นั้นเอง”
ท้อที่สุดในชีวิต ท้อเรื่องอะไรมากที่สุด?
“น่าจะเป็นเรื่องครอบครัวค่ะ”
ผ่านวงแรกมาแล้ว วงไหมไทย วงที่สองคือวงอะไร?
“อยู่กับคุณพ่อไหมไทย รู้สึกว่าไม่สร้างชื่อเท่าไหร่ แต่ที่มีคนรู้จักเยอะๆ คือวงคำขุนร่วมมิตร รำเรื่องรักข้ามโขง ตอนนั้นเป็นนางร้าย ตัวโกง ดังมากในโลกหมอลำ ทุกคนอยากมาดูเรื่องนี้ อยากติดตาม ว่าใครคือใหม่ พัชรี อยู่ปีนึงก็รู้สึกว่าอยากหาประสบการณ์ให้ได้เยอะกว่านี้ ก็เลยย้ายมาอยู่วงประถมบันเทิงศิลป์ ประมาณ 3-4 ปีค่ะ”
ตอนนี้ทำวงเอง ผู้หญิงเป็นหัวหน้าวงน้อยมากนะ?
“ไม่ค่อยมีค่ะ ตอนแรกก็ไม่มั่นใจ เราเจอผู้จัดการเขาเป็นทุกอย่างให้เราเลยค่ะ”
ผู้จัดการหรือแฟน?
“ผู้จัดการของใหม่ พัชรี ย่อมาจาก ผัวจัดการค่ะ(หัวเราะ)”
เป็นอีกคนอยู่เบื้องหลังความสำเร็จ?
“ใช่ค่ะ เขาจะเติมไฟให้เรา ทำให้เรารู้สึกว่ามีพลัง”
ผัวจัดการของคุณผู้หญิงหรือผู้ชาย?
“ผู้หญิงค่ะ”
ชื่อพี่ตุ๊กติ๊กน้อย ตอนนี้มีแฟนคลับมากกว่าเราแล้วเหรอ?
“ใช่ค่ะ เขาเป็นขวัญใจวัยชรา ตอนนี้ผู้เฒ่าบ้านเราเบิ่งโซเชียลติดโทรศัพท์ หน้าเวทีจะมีคนแก่ วัยรุ่นที่ไม่ได้วัยรุ่นเยอะ วัยกลางคน เขาจะชอบพี่ตุ๊กติ๊กน้อยมาก”
เป็นแฟนกันได้ไง?
ใหม่ : “ตอนนั้นอยู่ประถมบันเทิงศิลป์ แล้วตัวเองอ้วนมากเลยค่ะ”
ตุ๊กติ๊กน้อย : “ไม่ๆ ตัวเองหลอกเขามา ตอนแรกทำอาหารเสริมแล้วเราก็ต้องหาแบรนด์ตลาดล่าง จะไปยังไง เราเป็นคนอีสานก็ต้องบุกอีสาน เพราะคุยกันรู้เรื่อง เจาะง่าย คุยง่าย คนที่มาทำงานกับเราเป็นคนอีสานเหมือนกัน ก็ถามว่าหนูรู้จักใครเจาะแบรนด์อีสาน เขาเลยแนะนำมาเจอ เพราะคนนี้ร่างใหญ่ เป็นแบรนด์ลดน้ำหนักสมัยนั้นนะคะ พอคุยกันไปคุยกันมา ความสามารถเยอะ น่าจะทำอะไรได้เยอะกว่านี้ ก็เลยบอกว่างั้นเราไปทำวงเอง การเอ็นเตอร์เทนเขาเก่ง เขาเอาคนหน้าเวทีอยู่ บอกให้หยุดก็หยุด บอกให้นั่งก็นั่ง”
มาเป็นแฟนกันยังไง?
ตุ๊กติ๊กน้อย : “บนเวทีเป็นอีกคน ข้างล่างเป็นอีกแบบ ถ้าไม่ถามก็ไม่พูด เป็นคนเงียบๆ”
ประทับใจ และหลอกล่อให้เขาเป็นแฟนยังไง?
ใหม่ : “ตอนแรกที่เห็นแกนัดเจอกันที่บึงกาฬ เดินเข้ามาแล้วแบบ เฮ้ย เพลงขึ้นเลย “ใช่เลย ตรงใจฉันเลย” คือสเปกเลย ชอบแบบนี้ ตรงทุกอย่างเลย แต่สายตาเขามองเราแบบ คนนี้เป็นใคร ทำไมขี้เหร่จังเลย”
ตุ๊กติ๊กน้อย : “มันไม่ตรงปก เพราะตามบิลบอร์ดที่เจอสวย เป็นอีกคนนึง แต่พอเดินหาเขา หาไม่เจอ เพราะไม่ตรงปก (หัวเราะ)”
ใหม่ : “วันนั้นไม่ได้ใส่ฟีลเตอร์”
ตุ๊กติ๊กน้อย : “เขาก็นั่งมองเรา เราก็หาๆ แล้วก็ไปถามว่าคนไหนคือใหม่ พัชรี เขาบอกคนที่นั่งอยู่ตรงหน้านั่นแหละ”
ตกหลุมรักใหม่ได้ยังไง?
ตุ๊กติ๊กน้อย : “เขาเป็นคนจริงใจ พูดคำไหนคำนั้น บนเวทีอีกแบบนึง ข้างล่างอีกแบบนึง เขาเป็นคนนิสัยดีคนนึง ก็เลยคุยกัน”
ตอนออกมาเปิดวงแรกๆ เจอโดนดูถูกว่ายังไงก็ไปไม่รอด เขาบอกว่าคุณหลงผัว?
ตุ๊กติ๊กน้อย : “หนึ่งตุ๊กเป็นผู้หญิง สองเราไม่รู้เรื่องหมอลำ แต่เรารู้สึกว่าคนนี้ไปได้ไกล การเอ็นเตอร์เทนของเขาการอะไร คุณเก่งหมอลำ เราเก่งเรื่องบริหาร ก็เลยเอามามิกซ์กัน ตอนนั้นเฟซหรือโซเชียลกำลังมา เขาคนกำลังตามเยอะ เราก็เลยโพสต์หน้าเวทีว่าเรายกขันขอขมาลาไหว้กับวงเดิมแล้วนะ เรารับงานเอง“
พอเปิดตัวทำวง มันก็แรงนะสำหรับวงการหมอลำ ออกจากที่เดิมมาทำเอง คบสาวหล่อ แฟนเพลงคุณรับได้เหรอ?
ใหม่ : “รับได้ค่ะ เราชัดเจนตั้งแต่แรกแล้ว เราบอกว่าเราคบตุ๊กติ๊กน้อยตั้งแต่เรายังไม่มีอะไร แล้วไม่มีชื่อเสียง เราก็ไหลมาเรื่อยๆ เวลาถ่ายคลิปก็ให้เขาออกตลอด ทุกคนจะเห็นมาเรื่อยๆ เวลาสื่ออะไรคนจะรู้จักหมดว่าตุ๊กติ๊กน้อยคือใคร เราชัดเจนกับความรู้สึก”
เวลาเจอหนุ่มๆ ลวนลามหน้าเวทีทำไง?
ตุ๊กติ๊กน้อย : “มันคือการแสดง แต่ไหวพริบเขาดี เขาน่าจะเจอประสบการณ์มาเยอะ เวลาเอาตัวรอดทัน”
สาวๆ ชอบเขาทำไง?
ใหม่ : “ชอบเลยค่ะไม่เป็นไร มีแต่บอกว่าหลอกเอาเงินมาเลย เงินคนแก่เดือนละ 800 (หัวเราะ) ส่วนมากมีแต่คนมาเอ็นดู ไม่มีชู้สาว”
ตุ๊กติ๊กน้อย : “ส่วนใหญ่จะเอ็นดูเราสองคนค่ะ”
คาแรกเตอร์ไปคนละทาง แต่คนมา 8 ปีแล้ว คิดมั้ยเรื่องสมรสเท่าเทียม?
ตุ๊กติ๊กน้อย : “คิดค่ะ ดีใจมากค่ะ เราคุยกันตั้งแต่ยังไม่มีประกาศ แค่มีมาแว่วๆ ตอนนั้นไปคอนเสิร์ตที่ออสเตรเลีย เขาก็ไปขอหมั้นที่ตึกที่ออสเตรเลีย ประมาณคุณไม่ต้องหรอก ฉันทำเอง (หัวเราะ) ก็คิดจดทะเบียนเป็นเรื่องเป็นราว”
ไม่ตกใจเหรอ เขาขอแต่งงาน?
ตุ๊กติ๊กน้อย : “วันนั้นเขาไปเตรียมดอกไม้ เตรียมแหวน แล้วอยู่ดีๆ ก็มา ตัวเองหันมาหน่อย นั่งลงเหมือนในทีวีเลย”
วางแผนนานมั้ยไปขอเขา?
ใหม่ : “วางแผนตั้งแต่รู้ว่าจะได้ไปคอนเสิร์ตที่ออสเตรเลีย วางแผนไว้เลยว่าเราต้องทำยังไง มีอะไรมั้ย พาไปเที่ยวหน่อย มีอะไรที่น่าจดจำหรือเปล่า เขาก็อบกว่าที่นี่คือหอคอยที่สูงที่สุดของซิดนีย์ ทุกคนมีความทรงจำตรงนั้นเยอะ ก็เลยจัดการเลย”
ไม่สงสัยเลยเหรอ?
ตุ๊กติ๊กน้อย : “เราทำงานปกติ ไม่ได้คิดอะไร เพราะตัวติดกันตลอด ไม่คิดว่าเขาจะไปคุยกับน้องอีกคนที่อยู่ฝั่งซิดนีย์เอาไว้”
คิดขอเขากลับมั้ย?
ตุ๊กติ๊กน้อย : “ไม่ได้คิด เขารู้ว่าเราอยู่ด้วยกันตลอด เราทำเพื่อเขาตลอด ตั้งแต่แรกแล้วที่เราตกลงไปด้วยกันแล้วนะ ตกลงเดินไปด้วยกัน เขารู้ว่าตุ๊กจับวางว่าตัวเองไปแบบนี้นะ เขาอยู่ข้างหลัง เขาก็จะเป็นแบบว่าตัวเองพูดแบบไหนเขาก็จะทำตาม”
ใหม่ : “จะมีหน้าเวทีเวลาเกินไป เขาก็จะบอกว่าตัวเองลดอันนี้ลง อย่าเล่นเยอะ บอกกันได้ คุยกันได้ตลอด”
ไม่ดื้อบางคนพอดังจะมีองค์เตือนไม่ได้?
ใหม่ : “จะถามตลอดว่าโอเคมั้ย ได้มั้ย กลัวคนมองไม่ดี”
ดูแลความรักยังไง 8 ปี?
ใหม่ : “ตั้งแต่ครั้งแรกที่ตกลงคุยกัน เขาก็จะมีบ้างเหมือนระแวงเราว่าจะนอกลู่นอกทางไปมีคนอื่นมั้ย ก็พูดกับเขาตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอ และตกลงร่วมกันว่าความซื่อสัตย์ ความรัก และความจริงใจตัวเองจะได้จากเขาไปโดยที่ตัวเองไม่ต้องร้องขอ โดยไม่ต้องคิดว่าเขาจะมีคนอื่น ณ ตอนนี้เราอยู่ด้วยกัน สร้างชีวิต สร้างครอบครัวด้วยกัน ที่ผ่านมาเรารู้หมดแล้วว่าเป็นยังไง ตอนนี้เราพยายามทำชีวิตให้ดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ และใช้ชีวิตให้มีความสุขที่สุด”
ทำไมระแวงเขา?
ตุ๊กติ๊กน้อย : “เคยมีแผล น้องเขาเคยผ่านการมีครอบครัวมา การอยู่บนเวที การเป็นศิลปิน คนเข้าหาเยอะ เวลาอยู่กับแฟนเพลงแต่ก่อนเขาอาจวางตัวไม่ค่อยถูกว่าคุยลักษณะแบบไหน คุยเพื่อให้แฟนเพลงมาติดมาชื่นชมเรา เขาเป็นแบบไหน บางครั้งคุยเหมือนไม่ใช่แฟนเพลง คุยเพื่อให้เขามารักเรา ตุ๊กเลยบอกว่าแบบนี้ไม่ได้ จะคุยต้องเว้นระยะระหว่างตัวเองกับแฟนเพลงนะ มันมีการคุยหลายแบบ คุยแบบไหนที่เขารักแบบแฟนเพลง คุยแบบไหนที่จะเอาแฟนเพลงมาเป็นแฟนตัวเอง ตุ๊กเลยบอกว่าแบบนี้ไม่ได้ พอเขาเข้าใจ เราก็เข้าใจกัน เลยอยู่กันได้มานานแบบนี้ เราเคลียร์กันในเรื่องนั้นๆ เลย ไม่ปล่อยค้าง”
ชีวิตไม่ง่าย เคยเจอคนเอาปืนมาขู่เฉียดตายมาแล้ว?
ใหม่ : “ตอนนั้นเราอยู่วงคุณพ่อไหมไทย การเป็นหมอลำต้องนอนกลางดิน กินกลางทรายอยู่แล้ว เราแสดงเสร็จก็จะไปอาบน้ำตามโรงเรียน ตามวัด แล้วมีแก๊งวัยรุ่นเข้ามาพยายามหาเรื่อง เอาปืนมาขู่ว่ามาทำอะไรตรงนี้ ตรงนี้เป็นบริเวณของกู ถ้าไม่ออกพวกมึงได้ตายกันหมด เขารู้ว่าเราเป็นใคร ก็บอกว่าพวกหนูมาขออาบน้ำหน่อยจ้า เราเป็นหมอลำ ไม่ได้จะไปปะทะอะไร ให้อาบน้ำหน่อย ถ้าไม่ให้อาบก็ไม่เป็นไรค่ะ แล้วก็พากันกลับ เขามากันเป็นแก๊งใหญ่เลย”










Categories: NEWS
นกน้อยทำรังแต่พอตัว มีเงินเท่านี้ควรจะซื้อบ้านเท่าไร? – การลงทุนอสังหาฯ ตอนที่ 13
บทความ โดย : Beam | 12 ปีที่แล้ว |

มีเงินเท่านี้ควรจะซื้อบ้านเท่าไร? ผมอยากเขียนเรื่องนี้มาหลายรอบแล้วแต่ก็ไม่มีโอกาสสักที วันนี้ได้โอกาสมาปัดฝุ่นคอลัมน์การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ก็เลยอยากจะแบ่งปันความเห็นให้กับทุกๆคนหน่อยครับ
หลายๆคนนั้นคิดว่าเราควรจะซื้อบ้านจัดเต็มกำลังเนื่องจาก “บ้าน” ตามคำโฆษณาทางทีวีและจากความเชื่อที่สั่งสอนกันมาหลายๆรุ่น บอกว่าบ้านเป็น “รางวัลของชีวิต” เป็น “สิ่งล้ำค่าที่บ่งบอกถึงความสำเร็จ” เป็น “สินทรัพย์ที่มีค่ามากที่สุดของชีวิต”
จริงๆน่ะหรือ?

หลายๆคนรวมถึงผมเมื่อปลายปีก่อนด้วย เข้าใจตลอดมาว่า “บ้านที่เราอยู่” นั้นเป็น “ทรัพย์สิน” เพราะว่ามันสามารถสร้างมูลค่าให้กับตัวเองได้ สามารถขายได้ สามารถทำให้เราร่ำรวยขึ้นได้ จนผมได้ศึกษาเรื่องอสังหาริมทรัพย์อย่างจริงจังและเกิดความเข้าใจมากขึ้นเรื่อยๆกลับพบว่า จริงๆแล้วบ้านไม่ใช่ทรัพย์สินนะ แต่บ้านเป็น “หนี้สิน” ก้อนมหึมาของชีวิต หนี้สินที่บีบบังคับให้เราทำงานหาเงิน เอาเงินเดือนส่วนใหญ่ไปเลี้ยงดอกเบี้ยสร้างความมั่งคั่งร่ำรวยให้นายธนาคารที่เก็บดอกเบี้ยเงินกู้จากการผ่อนบ้านของเราไปอีก 20-30 ปี ตลอดจน “หนี้สิน” ที่จะทำให้เราฟุ้งเฟ้อใช้จ่ายมากขึ้นอีก
หากเป็นสมัยที่เราเช่าหอพักหรือเช่าบ้านอยู่ เราก็คงจะไม่มีความต้องการที่จะซื้อเฟอร์นิเจอร์เข้าบ้านในราคาแพงสักเท่าไร ใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าแบบพอใช้ได้ แอร์ก็แล้วแต่บ้านเช่าว่าจะมีให้หรือเปล่า ทีวี ตู้เย็น ตลอดจนหลายสิ่งหลายอย่างเราก็เลือกเฉพาะสิ่งที่เราคิดว่าได้ใช้และจำเป็นสำหรับเรา
แต่ทันทีที่เรามีบ้านซึ่งในที่นี้รวมถึงคอนโดมิเนียมด้วย เราก็ต้องตัดเงินส่วนหนึ่งจากรายได้ประจำของเราไปใช้ในการ “ผ่อนบ้าน” ซึ่งอาจจะสูงถึง 40-50% ของรายได้ที่เรามี ตลอดจนเสียค่าใช้จ่ายในการทำความสะอาดและดูแลบ้าน เสียค่าส่วนกลางให้กับนิติบุคคลที่ดูแลบ้าน จากเดิมที่เคยใช้ชีวิตเลือกซื้อเฟอร์นิเจอร์ราคาไม่แพง เราก็จะไปเลือกเฟอร์ฯที่ทนทานหน่อย ดูสวยหน่อย เข้ากับสไตล์เราหน่อย เพื่อให้บ้านเราดูสวยงามมากขึ้น แต่งบ้านในสไตล์ที่ชอบ หาเครื่องใช้ไฟฟ้าดีๆมาใช้ ทั้งหมดนี้เป็น “ค่าใช้จ่าย” ที่เกิดขึ้นหลังจากที่เรามีบ้าน

เท่านั้นยังไม่พอ การมี “บ้านราคาแพง” ยิ่งทำให้เราเสียค่าใช้จ่ายมากยิ่งขึ้น คำว่า “แพงเท่าไร” น้ันขึ้นกับคนแต่ละคน บางคนบอกว่า 1 ล้านแพง, 3 ล้านแพง หรือ 10 ล้านแพง อันนี้ไม่เกี่ยวนะ เรายึดตามหลักความแพงของตัวเองนะครับ ซึ่งผมเชื่อว่าทุกคนมีขีดจำกัดความแพงอยู่ในตัวเองอยู่แล้ว หากเราไปอยู่ในหมู่บ้านที่เรียกว่า “บ้านราคาแพง” เพื่อสะท้อนฐานะของผู้ซื้อ “มอบรางวัลให้กับชีวิต” ตามคำโฆษณาขายบ้านที่เขาชอบใช้กัน รอบข้างเราหรือเพื่อนบ้านท้ังหลายนั้น จะล้วนแล้วแต่เป็นคนที่มีปัญญาซื้อของในราคาที่เราคิดว่าแพงทั้งสิ้น ดังนั้นทุกวันเราก็ต้องเห็นการใช้ชีวิตของพวกเขา ว่ามีรถดีๆขับ ใช้ของแบรนด์เนม ใช้กระเป๋าหรูๆ เพิ่มพูนฐานะอย่างไร
ผมไม่ได้ระบุนะครับว่ารถดีๆคืออะไร อาจจะเป็น Toyota Altis, Mercedes Benz S Class หรือ Ferrari FF ก็ได้ ขึ้นอยู่กับว่าความแพงของแต่ละคนคืออะไร เท่าไร อย่างไร แต่การที่เราเห็นเพื่อนบ้านของเรา ขับรถใช้ของดีๆในสิ่งที่เราไม่มีนั้น จะทำให้เราเกิดความ “อยากได้” ขึ้นมาอย่างชัดเจน หากเราอดรนทนไม่ไหวถูกกิเลสครอบงำ เราก็จะไปขวนขวายหาของเหล่านี้มาใช้เพื่อให้เรามีของสมฐานะเทียบเคียงกับเพื่อนบ้าน และนั่นก็จะตามมาด้วยการก่อหนี้ที่มากขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

หากเรามีเงินเท่านี้ เราควรจะซื้อบ้านในราคาเท่าไร ? เป็นคำถามที่หลายๆคนต้องการคำตอบ และผมก็มักจะได้ยินบ่อยๆ
คนส่วนหนึ่งใช้ “นายธนาคาร” เป็นคำตอบ ว่าถ้าคุณมีเงินเดือน 30,000 บาทนะ จะกู้ได้สูงสุดที่วงเงิน 2 ล้านบาท ผ่อน 20-30 ปี ซึ่งเป็นคำตอบของ “การเป็นหนี้สูงสุด” ที่คนๆหนึ่งจะสามารถทำได้ ซึ่งแน่นอน คำตอบนี้เป็นที่ “โดนใจ” ของทั้งนายธนาคารและนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ที่จะได้กำไรก้อนเบ้อเร่อจาก เงินในอนาคตของพวกคุณ ดังนั้นคำตอบนี้จึงเป็นคำตอบที่ “แพร่หลายมากที่สุด” และ “ได้รับการโฆษณามากที่สุด” อย่างไม่ต้องสงสัย ทุกคนพยายามจะให้คุณกู้ได้มากที่สุด เป็นหนี้มากที่สุด เพื่อเขาจะได้ดอกเบี้ยสูงสุดและขายบ้านได้ในราคาแพงที่สุด
หลายคนรวมถึงตัวผมในอดีตด้วย จะเถียงผมในปัจจุบันว่า “บ้านเป็นสินทรัพย์ที่มีมูลค่าสูงขึ้น” เป็น “การลงทุนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของชีวิต” เชียวนะ ทำไมเราไม่ควรซื้อในสิ่งที่ดีที่สุดให้กับตัวเรา เมื่อมูลค่ามันเพิ่มขึ้น เราก็สามารถ “ขายทำกำไรได้ด้วยนะ”
ผมในปัจจุบันจึงตอบกลับไปว่า “แล้วคุณคิดจะขายบ้านหลังนี้ไหม?” ขายเอากำไรแล้วกลับไปอยู่ห้องเช่าอย่างเดิม คุณจะทำไหม? ถ้าคำตอบคือ “ไม่” นั่นก็ผิดแล้ว หรือถ้าคำตอบคือ “ใช่” แต่จะขายก็เพื่อต้องการไปซื้อบ้านที่ใหญ่กว่า ขยับขยายไปอยู่ในที่อยู่ที่ดีกว่าก็ไม่ถูกอีก คุณก็ต้องเป็น “หนี้” ใหม่ เพิ่มหนี้สินก้อนใหญ่ให้กับชีวิตอีกก้อน เอาเงินกูและกำไรตรงนี้ไปแปะเงินกู้ตรงนั้น จ่ายดอกเบี้ยให้กับนายธนาคารและจ่ายกำไรให้กับนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ต่อไปในมูลค่าที่สูงขึ้น เข้าสู่วงจรเป็นหนี้อีกตามเคย และคุณก็จะได้รับคำชมเชยว่า “เป็นลูกค้าที่ดีและมีความสำคัญที่สุด” ของทั้งนายธนาคารและบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์
“ที่อยู่อาศัย” เป็นสิ่งที่จำเป็นของชีวิต เป็นหนึ่งในปัจจัย 4 ที่ขาดไม่ได้ ดังนั้น “บ้านหลังที่เราอยู่” จึงเป็นสิ่งที่เราใช้ เป็นสิ่งที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ ไม่สามารถ “ขาย” ได้ โดยที่ไม่คิดจะไปหา “ที่อยู่ใหม่” ต่างกับการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ในบ้านหลังที่ 2-3-4-5 … อย่างสิ้นเชิง ที่ได้ทั้ง “ค่าเช่า” จากการที่ปล่อยสินทรัพย์ของเราให้ไปหาเงินมาให้เรา และในขณะเดียวกันก็พร้อมที่จะขายออกไปโดยไม่ส่งผลกระทบใดๆกับชีวิตเราทั้งสิ้น
หนี้จากบ้านหลังหนึ่งเราควรจะแบกได้ด้วยตัวคนเดียว หรือครอบครัวเดียว ใช้เงินส่วนหนึ่งที่เราหามาได้นั้นจ่ายออกไป โดยให้คิดเหมือนว่าเรากำลัง “เช่าบ้าน” หลังนี้อยู่ไปจนตาย เพราะเราไม่คิดว่าจะ “ขาย” แล้วไปอยู่ในบ้านหลังที่เล็กลง กระจอกลงหรือถูกลง เพื่อทำ “กำไร”

ถ้าอย่างนั้น ก็วกกลับมาอีกว่า เราควรจะซื้อ “บ้าน” ที่ราคาไม่เกินเท่าไร หากเรามีรายได้เท่านี้
ผมคงจะไม่สามารถฟันธงได้ แต่ผมชอบหนังสือเล่มหนึ่งมากๆ นั่นก็คือ The Millionaire Next Door ของ Thomas J. Stanley ที่เขียนถึงเรื่องการใช้ชีวิตของเศรษฐีและการสร้างความมั่งคั่งให้กับชีวิต ที่ขายดีและโด่งดังที่สุดเล่มหนึ่งในสหรัฐอเมริกา … หนังสือเล่มนั้นเขียนไว้อย่างนี้ครับ
“If you’re not wealthy but want to be someday, never purchase a home that requires a mortgage that is more than twice your household’s total annual realized income.”
แปลว่า
“ถ้าคุณยังไม่รวยแต่อยากจะมั่งคั่งในสักวันหนึ่ง อย่าซื้อบ้านที่ต้องใช้เงินกู้เกินกว่ารายได้ที่คุณหาได้ในเวลาสองปี”
เช่นหาได้ปีละ 5 แสน สองเท่าก็คือ 1 ล้านบาท นี่เป็นยอดเงินกู้ที่พอจ่ายได้ ที่เหลือเอาเงินเก็บจัดการให้เรียบนะครับ
นกน้อยทำรังแต่พอตัวครับ
ปล. ขอเสริมอีกนิดนะครับ “บ้าน” ในที่นี้ ไม่รวม “อาคารพาณิชย์” หรือ “Home Office” ทำเลดี ที่จะช่วยให้ธุรกิจของเราเฟื่องฟูมากขึ้น เปิดร้านค้าได้และสามารถใช้เป็นที่อยู่อาศัยได้ด้วย … แบบนั้นต้องคิดอีกอย่างว่า ครึ่งหนึ่งของบ้านนี้ช่วยเราหาเงินเพิ่มพูนความมั่งคั่งให้กับตัวเอง ชั้นล่างที่ใช้ขายของเป็นทรัพย์สิน ชั้นบนที่เราอยู่อาศัยเป็นหนี้สินนะครับ =)